Sunday, October 11, 2015

เกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม

เกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม
บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียง
 
          “เฮียนฮู้จากของแต๊ เผยแพร่ฮื้อลูกหลาน คือ งานเกษตรบ้านเฮา” (เรียนรู้จากของจริงเผยแพร่สู่ลูกหลาน คือ งานเกษตรบ้านเรา) ประโยคนี้ติดปากและอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของใครหลายคนที่ได้เข้ามาสัมผัสและรับรู้เรื่องราวในการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ฯ ประจำตำบลร้องวัวแดง (ศูนย์เรียนรู้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงบ้านม่วงเขียว ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่) การศึกษาเรียนรู้วิถีทางเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม และอยู่บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียงให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจอย่างแท้จริง และทำจริง จึงจะสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้กับการเกษตรของตนเองได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
 
 
 
          พื้นที่ประมาณ10 ไร่ ได้กลายเป็นผืนดินในการทำเกษตรแบบผสมผสาน ที่นำทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิมและอยู่บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียงเข้ามาปรับใช้อย่างเหมาะสม เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด ถูกจัดแบ่งเป็นพื้นที่การทำเกษตรในรูปแบบต่างๆ ตามอัตราส่วนร้อยละ ดังนี้
          พื้นที่สำหรับการทำนา 70 % (แบ่งเป็นการทำนาด้วยวิธีการโยนกล้า 40 % และการดำนา 30 %) และพื้นที่สำหรับการทำเกษตรแบบผสมผสาน อีก 30 % ถูกแบ่งย่อยออกเป็นพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว (5 %) อาทิเช่น ตะไคร้ ขิง ข่า ขมิ้น ชะอม มะนาว พริก มะเขือ ผักบุ้ง โหระพา กระเพราฯลฯ ปลูกไม้ยืนต้นและไม้ผล ทั้งหลาย (4 %) เช่น มะม่วง ลำไย กล้วย มะละกอ ฯลฯ ขุดหนองเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ และเก็บน้ำไว้ใช้ในการทำเกษตร อีก 5 % เลี้ยงหมูหลุม (1 %) เลี้ยงวัวเนื้อ (1 %) เลี้ยงไก่เนื้อ (1 %) ทำน้ำส้มควันไม้ (1 %) ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ( 2 %) ทำบ่อก๊าซชีวภาพ (2 %) เพาะเห็ดนางฟ้า (2 %) ทดลองความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ (2 %) เช่น เลี้ยงไส้เดือนดิน ฯลฯ เป็นพื้นที่แห่งความสุขไว้พักผ่อนหย่อนใจและมีกระท่อมเล็กๆ เพื่อใช้ประชุมกับทีมงานอีก (4 %) ซึ่งถือว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้ได้ถูกจัดสรรปันส่วนอย่างชัดเจนและเป็นไปตามความเหมาะสมที่ทางสมาชิกทุกคนได้ร่วมกันกำหนดไว้
 
 
 
          ลุงบุญทรง ยุติธรรม (ประธานศูนย์ ฯ) คนโตตัวเล็ก ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและพยายามที่จะพัฒนาการเกษตรของหมู่บ้านม่วงเขียว เล่าว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่” ของที่นี่กำลังค่อย ๆ พัฒนาเพิ่มพูน ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ ที่ได้รับจากการอบรมและทดลองทำจากหน่วยงานต่าง ๆ การศึกษาเรียนรู้ร่วมกับนักวิชาการด้านเกษตร และการค้นคว้าทดลองทำด้วยตนเองของเกษตรกร เช่น การทำนาด้วยวิธีโยนกล้า การเลี้ยงหมูหลุม การทำปุ๋ยหมักด้วยการนำ พด.1 มาปรับใช้ ฯลฯ และยังคงอยู่ “ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม” ของวิธีการทำเกษตรซึ่งได้ถ่ายทอดมาแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยายเกษตรทฤษฎีใหม่ส่วนไหนดีและไม่ส่งผลกระทบต่อคนและธรรมชาติ พวกเราพร้อมจะปรับเปลี่ยน เกษตรทฤษฎีใหม่ส่วนไหนที่มีวิธีขัดแย้งต่อวิถีทางเกษตรของที่เราทำมาแต่เดิมหรือไม่สอดรับต่อสภาพและส่วนต่าง ๆ ของชุมชนเรา ก็ต้องนำมาวิเคราะห์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่ารับแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่มาทั้งหมดแล้วไม่นำไปวิเคราะห์ ไม่นำมาปรับใช้เลย
 
 
 
          ลุงประเสริฐ และลุงบุญตัน สองพี่น้องตระกูลมะโนจิต (สมาชิกศูนย์การเรียนรู้ฯ ) ที่พลิกผันชีวิตตนเองจากระบบการทำงานของราชการไทย หันหน้าเข้าสู่การทำเกษตรแบบพอเพียง กล่าวเสริมคำพูดของลุงบุญทรงว่า “นอกจากการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิมแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การทำ “เกษตรแบบพอเพียง” ตามที่ในหลวงท่านได้ทรงให้เป็นแนวทางในการทำเกษตรของประเทศไทยว่า เมื่อการทำเกษตรทุกรูปแบบให้อยู่บนฐานของคำว่า “พอ” พอกิน พออยู่ พอใช้ และพอใจกับสิ่งที่มี คำว่า “พอ” จะทำให้เกษตรกรรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง รู้วิธีการทำเกษตรที่ทำแล้วไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ และรู้ว่าการทำเกษตรไม่อาจทำให้ใครร่ำรวยได้เลยแม้แต่คนเดียว หากขาดระบบจัดการเกษตรที่ดีและไม่มี “ความพอเพียง” อยู่ในจิตใต้สำนึก ”
 
 
 
          เกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้ภูมิปัญญาเดิม และอยู่บนพื้นฐานของเกษตรแบบพอเพียงนั้น เกษตรกรบ้านม่วงเขียว รวมจนถึงเกษตรกรตำบลร้องวัวแดงให้คำนิยามด้วยตัวเองว่า “เกษตรแบบผสมผสาน” บนผืนดิน 10 ไร่ ซึ่งได้ทำเกษตรรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง ทำนา ทำสวน เพาะเห็ด และเลี้ยงสัตว์ สามารถผลิตพืชผลทางเกษตรออกสู่ตลาดได้อย่างทั่วถึงมีเงินหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขายพืชผักสวนครัวได้ทุกวัน ขายเห็ดนางฟ้า กบ และปลาได้ทุก ๆ 1 – 2 เดือน ขายหมูและไก่ได้ทุก ๆ 3 เดือน ขายข้าวได้ทุก ๆ 6 เดือน และในรอบ 1 ปี ขายผลไม้ได้อีกด้วย ที่เหลือคือพืชผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารได้เกือบทุกมื้อ หากคิดและทำแบบพอเพียง
  

          ในทุกวันนี้การดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้สังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เป็นจุดเรียนรู้การทำเกษตรอย่างยั่งยืนที่เปิดโอกาสให้คนภายนอกสามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้ได้ เป็นวิชาชีวิตที่ไม่มีสถาบันการศึกษาใดสอนได้ และเป็นแหล่งทำมาหากินของคนในชุมชนที่ร่วมดำเนินงานในศูนย์การเรียนรู้ฯ ถึงแม้ว่าพายุเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จะโหมกระหน่ำรุนแรงสักเพียงใด จนในบางครั้งทำให้สมาชิกศูนย์ฯ บางคนท้อถอย ต้องเลิกล้มความตั้งใจหรือถอนตัวออกไป แต่ก็ยังมีสมาชิกศูนย์ฯ อีกหลายคนที่ยังคงแน่วแน่ ตั่งใจ ยืนหยัดพร้อมที่จะผสานพลังกับคนในชุมชน ฝ่าวิกฤตในปัจจุบันไปสู่วันที่ “เกษตรจะยั่งยืนและสร้างความสุขอย่างแท้จริง”
 
ที่มา : http://www.moralcenter.or.th/msrongwuadang/about/2576/

No comments:

Post a Comment